- -

โบท็อก (Botox) VS ร้อยไหมให้หน้าเรียว อย่างไหนดีกว่ากัน

เป็นคำถามที่คนไข้หลายคนถามหมอมาเยอะมากๆ หมอเลยขอมาอธิบายว่าการเลือกระหว่างโบท็อก (Botox) หรือร้อยไหมหน้าเรียวขึ้นอยู่กับใบหน้าลักษณะรูปหน้า ลักษณะปัญหา ความต้องการและความคาดหวังของคนไข้แต่ละคน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ ระยะเวลาการพักฟื้น ระยะเวลาความคงทนหรือว่าผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการทำเป็นต้น ก่อนที่จะบอกว่าโบท็อก (Botox) หรือร้อยไหมดีกว่ากันหมอขออนุญาตอธิบายว่าโบท็อกช่วยเรื่องอะไรและร้อยไหมช่วยเรื่องอะไร และกลไกการทำงานแตกต่างกันอย่างไรค่ะ Table of Contents โบท็อก (Botox) กับร้อยไหม ต่างกันอย่างไร โบท็อก (Botox) และร้อยไหม เป็นหัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียและเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกัน มาลองดูกันค่ะว่าทั้ง 2 หัตถการนี้แต่ละวิธีต่างกันอย่างไร โบท็อก (Botox) กลไกการทำงาน: เป็นสารโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรีย ช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ผิวหนังจึงตึงขึ้นในด้านความงามนำมาใช้ในด้านของการปรับรูปหน้าทำให้หน้าเรียวขึ้นและใช้ในการยกกระชับรวมถึงการลดริ้วรอยและกระตุ้นคลอลาเจนให้หน้าดูใสขึ้นด้วย ร้อยไหม กลไกการทำงาน: การร้อยไหมซึ่งจะมีไหมหลายชนิด แต่ไหมที่หมอจะนำมาอธิบายในครั้งนี้คือไหมก้างปลา ไหมก้างปลาเป็นไหมละลายชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีเงี่ยงขนาดเล็กอยู่ตามแนวเส้นไหม ซึ่งเงี่ยงเหล่านี้จะเกี่ยวดึงกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เมื่อแพทย์ร้อยไหมก้างปลาเข้าไปใต้ผิวหนัง เงี่ยงของไหมก้างปลาก็จะเกี่ยวดึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้ยกตัวขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นกระชับขึ้น ไหมก้างปลาเป็นไหมละลาย สามารถร้อยได้ทุกบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เช่น หน้าผาก หางตา หว่างคิ้ว ขมับ แก้ม […]

โบท็อก (Botox) VS ร้อยไหมให้หน้าเรียว อย่างไหนดีกว่ากัน Read More »

7 ประโยชน์ของโบท็อก (Botox) ที่คุณอาจยังไม่รู้

โบท็อก (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของ Botulinum Toxin A ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย clostridium botulinum โดยปกติเราจะรู้จักโบท็อกในแง่ของการความงาม ลดริ้วรอย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าโบท็อกมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย วันนี้หมออยากขอมาพูดถึง 7 ประโยชน์ของโบท็อกที่บางท่านอาจยังไม่รู้กันค่ะ Table of Contents ลดริ้วรอยบนใบหน้า โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ทั้งหมด 4 บริเวณ ดังนี้ บริเวณหน้าผาก: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากได้ เช่น รอยย่นตรงกลางหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว บริเวณหางตา: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดริ้วรอยบริเวณหางตาได้ เช่น รอยตีนกา บริเวณระหว่างคิ้ว: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้วได้ เช่น รอยขมวดคิ้ว บริเวณใต้ตา: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดริ้วรอยใต้ตาเวลายิ้มและยังช่วยให้ใต้ตาดูสว่างขึ้น ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อก (Botox) ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อก (Botox) ริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลภายใน

7 ประโยชน์ของโบท็อก (Botox) ที่คุณอาจยังไม่รู้ Read More »

ฉีดโบท็อก (Botox) กี่วันเห็นผล

โดยทั่วไป การฉีดโบท็อก (Botox) จะเห็นผลชัดเจนต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด สภาพผิว และปริมาณโบท็อกที่ใช้ (Botox) ดังนั้นหมออยากให้เข้าใจว่าระยะเวลาที่เห็นผลของการฉีดโบท็อก (Botox) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ ตำแหน่งที่ฉีด:  บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบ่อย เช่น หน้าผาก รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว มักเห็นผลเร็วภายใน 3-7 วัน  บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเยอะ เช่น กราม อาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ ปริมาณยาที่ฉีด: ยิ่งใช้ปริมาณยาเยอะ มักเห็นผลเร็วขึ้น ชนิดของโบท็อก: แต่ละยี่ห้อมีความบริสุทธิ์และออกฤทธิ์แตกต่างกัน บางยี่ห้ออาจเห็นผลไวกว่าบางยี่ห้อค่ะ ระยะเวลาโดยทั่วไป:  ริ้วรอยบนใบหน้า: รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว รอยหน้าผาก มักเห็นผลภายใน 3-7 วัน ผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์ ยกกระชับ: ยกคิ้ว ลิฟต์กรอบหน้า ผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์ ปรับรูปหน้า: ฉีดกรามปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง โดยลดขนาดของกล้ามเนื้อกราม ทำให้หน้าดูเล็กลง มักเห็นผลภายใน 2-3

ฉีดโบท็อก (Botox) กี่วันเห็นผล Read More »

บริเวณที่ไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อก (Botox)

บริเวณบางส่วนหมอไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อก (Botox) นะคะ เนื่องจากมีโอกาสส่งผลเสียต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหรือทำให้ใบหน้าดูผิดธรรมชาติค่ะ บริเวณหลักที่ไม่ควรฉีดโบท็อก (Botox) ได้แก่ บริเวณเหนือคิ้วนิดหน่อย อาจทำให้คิ้วตก หรือฉีดแล้วตาดูเหนื่อยล้า ดูไม่เป็นธรรมชาติ เปลือกตา  อาจทำให้หนังตาตก ปิดตาไม่สนิท มองเห็นภาพซ้อน บริเวณใต้ตา ในเคสที่มีถุงใต้ตา อาจทำให้ถุงใต้ตาดูหย่อนชัดเจนมากยิ่งขึ้น โหนกแก้ม หน้าแก้ม ถ้าฉีดลึกไปอาจจะทำให้ยิ้มเบี้ยวได้ ร่องแก้ม ทำให้เวลาแสดงสีหน้าจะดูไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีบริเวณอื่นๆ ที่ไม่ควรฉีดโบท็อก (Botox) ได้แก่ บริเวณที่ผิวหนังอักเสบ หรือมีแผลเปิด: เสี่ยงติดเชื้อ บริเวณที่มีอาการบวมช้ำ: อาจทำให้บวมมากขึ้น บริเวณที่มีเส้นประสาทอยู่ใกล้ๆ: เสี่ยงโดนเส้นประสาท  บริเวณที่ไม่ควรฉีดอาจแตกต่างขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล หมอจะพิจารณาเป็นรายบุคคลค่ะ    Table of Contents ผลข้างเคียงและความเสี่ยงของการฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณที่ไม่เหมาะสม เป็นที่ทราบกันดีนะคะว่าการฉีดโบท็อก (Botox)เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณที่ไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมาได้ หมอขอยกตัวอย่างดังนี้ค่ะ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราว รอยช้ำบริเวณที่ฉีด

บริเวณที่ไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อก (Botox) Read More »

โบท็อก (Botox) 100 ยูนิตคืออะไรฉีดตรงไหนได้บ้าง

หมอขออธิบายว่าโบท็อก (Botox) 100 ยูนิต หมายถึง ปริมาณของสารบอทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum จำนวน 100 ยูนิต มีคุณสมบัติในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และลดขนาดกล้ามเนื้อกรามของคนไข้ค่ะ ทั้งนี้ โบท็อก (Botox) 100 ยูนิต ไม่สามารถเทียบเป็น cc ได้นะคะ เนื่องจากต้องนำไปผสมน้ำเกลือก่อนค่ะ Table of Contents ประสิทธิภาพของการฉีด 100 ยูนิต หมอแจ้งให้ทราบถึงประสิทธิภาพของการฉีดโบท็อก (Botox) 100 ยูนิต ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ ปัญหาที่ต้องการแก้ไข: หากต้องการลดริ้วรอยทั่วหน้า ปริมาณ 100 ยูนิต ถือว่าเพียงพอ หากต้องการลดขนาดกรามหรือฉีดลิฟติ้งใบหน้าอาจต้องใช้โบท็อกมากกว่า 100 ยูนิตค่ะ สภาพผิวและกล้ามเนื้อของแต่ละคน: คนที่มีผิวบางหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจต้องการปริมาณน้อยกว่า ประวัติการฉีดโบท็อก(Botox): หากเคยฉีดมาก่อน

โบท็อก (Botox) 100 ยูนิตคืออะไรฉีดตรงไหนได้บ้าง Read More »

การดื้อโบท็อก (Botox) คืออะไร

การดื้อโบท็อก (Botox resistance) เป็นภาวะที่ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) ออกมาทำลายยาโบท็อก (Botox) เพราะถูกมองว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย  ทำให้ตัวยาถูกทำลายและไม่ออกฤทธิ์ เป็นปรากฏการณ์ที่คนไข้ได้รับผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อก (Botox) ลดลง หรือแทบไม่มีผลเลย  โดยปกติแล้วโบท็อก (Botox) จะออกฤทธิ์ได้ประมาณ 4-6 เดือน แต่ในบางคนอาจมีผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 1-2 เดือนเท่านั้น Table of Contents อาการของการดื้อโบท็อก อาการดื้อโบท็อก (Botox resistance) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ ตามลักษณะอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ค่ะ ระดับที่ 1 : ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นเหมือนเดิม จากที่ปกติเคยฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณเท่าเดิม ก็สามารถลดริ้วรอยได้ แต่เมื่อมีภาวะดื้อโบท็อก (Botox) ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นเหมือนเดิม อาจลดริ้วรอยได้น้อยลง หรือริ้วรอยกลับมาเร็วขึ้น ระดับที่ 2 : ต้องใช้ปริมาณโบท็อก (Botox) ที่มากขึ้น จากที่ปกติเคยฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณเท่าเดิม

การดื้อโบท็อก (Botox) คืออะไร Read More »

วิธีใช้เครื่อง HIFU ในการยกกระชับใบหน้ามีดังนี้

 ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดและแห้ง ทาเจลหล่อลื่นบนใบหน้าบริเวณที่ต้องการทำ HIFU เลือกหัวยิงให้เหมาะกับบริเวณที่ต้องการทำ HIFU วางหัวยิงบนใบหน้าและกดปุ่มเพื่อเริ่มทำ HIFU เคลื่อนหัวยิงไปตามบริเวณที่ต้องการทำ HIFU โดยกดปุ่มยิงแต่ละจุดค้างไว้จนกว่าเสียงติ๊ดจะดังขึ้น ทำซ้ำขั้นตอน 5-6 กับบริเวณอื่น ๆ ที่ต้องการทำ HIFU ระยะเวลาในการทำ HIFU ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและระดับความลึกที่ต้องการยิง โดยปกติจะใช้เวลาแปะยาชาทิ้งไว้ 30 นาที และใช้เวลาทำอีกประมาณ 30-60 นาที หากทำไฮฟู่ที่ ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) ทั่วทั้งใบหน้าระยะเวลาอยู่ที่ 15 นาทีโดยที่ไม่ต้องแปะยาชา หลังทำ HIFU อาจจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน  Table of Contents ข้อควรระวังในการทำ HIFU ห้ามทำ HIFU ในบริเวณที่มีแผลเปิดหรืออักเสบ ห้ามทำ HIFU ในบริเวณที่มีโลหะฝังอยู่

วิธีใช้เครื่อง HIFU ในการยกกระชับใบหน้ามีดังนี้ Read More »

ไฮฟู (Hifu) ยกกระชับผิว

ไฮฟู (Hi-Fu) คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด โดยใช้คลื่นเสียงความเข้มข้นสูง (HIFU) ส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังชั้นลึก (SMAS) ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่รองรับผิวหน้า พลังงานความร้อนนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ จางลง และผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น Table of Contents ขั้นตอนการทำไฮฟู ทำความสะอาดผิวหน้าและทายาชา (หากต้องการ) ทาเจลเย็นบริเวณที่จะทำไฮฟูเพื่อปกป้องผิว แพทย์จะใช้หัวเครื่องไฮฟูจ่อไปที่บริเวณที่ต้องการรักษา แพทย์จะปล่อยพลังงานความร้อนจากเครื่องไฮฟูไปยังชั้นผิวหนังชั้นลึก การทำไฮฟูโดยปกติจะแปะยาชาทิ้งไว้ 30 นาที และใช้เวลาทำอีกประมาณ 30-60 นาที หากทำไฮฟู่ที่ ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) ทั่วทั้งใบหน้าระยะเวลาอยู่ที่ 15 นาทีโดยที่ไม่ต้องแปะยาชา ผลลัพธ์ของการทำไฮฟู ผลลัพธ์ของการทำไฮฟูจะเริ่มเห็นผลชัดเจน 1-3 เดือน อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ สภาพผิว และความลึกของริ้วรอย โดยทั่วไปแล้ว การทำไฮฟูสามารถช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ ได้ถึง 50% และช่วยลดริ้วรอยลึกได้ถึง 30% นอกจากนี้ การทำไฮฟูยังสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้า

ไฮฟู (Hifu) ยกกระชับผิว Read More »

10 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำ คนผิวมันเป็นสิว ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้

มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) หนึ่งในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ต้องเพิ่มลงใน Skincare routine ของทุกคนเพราะไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวเป็นแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นคนผิวธรรมดา ผิวแห้งเสีย ผิวผสมหรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวมันและมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวง่ายก็ยิ่งต้องเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างเร่งด่วนเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวของเราเสียสมดุลความชุ่มชื้น Skin Barrier ที่ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันผิวจะเริ่มอ่อนแอลง ส่งผลให้สิ่งแปลกปลอม เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อจุลชีพต่างๆ สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ผิวแพ้ง่ายมีผื่นคัน และอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous gland) ทำงานมากผิดปกติ มีการผลิตไขมันออกมาเคลือบผิวมากเกินความจำเป็นส่งผลให้ใบหน้าของเรามันเยิ้มและเกิดสิวได้ง่ายยิ่งกว่าเก่า ดังนั้นแล้วการเสริมความแข็งแรงให้กับ Skin Barrier ด้วยการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ แล้วแบบนี้ควรเลือก มอยเจอร์ไรเซอร์ ผิวมัน สิว ตัวไหนดี? มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ยี่ห้อไหนดี? บทความนี้จาก Linna Clinic มีคำตอบ Table of Contents Curel INTENSIVE MOISTURE Care หากพูดถึงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ทั้งผู้ที่มีผิวมัน เป็นสิว ผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้ต้องไม่พลาด Curel INTENSIVE MOISTURE Care กระปุกนี้อย่างแน่นอน สำหรับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตัวนี้เป็นเนื้อครีมเข้มข้นแต่ซึมลงผิวไว ไม่เหนอะหนะพร้อมบำรุงผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกด้วยส่วนผสมจาก

10 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำ คนผิวมันเป็นสิว ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้ Read More »

การเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดโบท็อก(Botox)

การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้การฉีดราบรื่น ผลลัพธ์ออกมาดี และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง ดังนั้นหมอขอแนะนำดังนี้ค่ะ Table of Contents การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อก (Botox) 1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงามประจำการ • ปรึกษาแพทย์ถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และเพื่อรับการประเมินว่าเหมาะสมกับการฉีดโบท็อก (Botox) หรือไม่ • แจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ยาที่กำลังรับประทาน ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์และยาพื้นบ้าน • แจ้งการรักษาความงามอื่นๆ ที่เคยทำ เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ศัลยกรรม เป็นต้น 2. งดยาบางชนิด • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่ โดยเฉพาะยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาสมุนไพร ยาเสริมอาหารบางชนิดที่ทำให้เลือดไหลเวียนดี คอลลาเจน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ แนะนำให้เลี่ยง 1 อาทิตย์ก่อนฉีดเพื่อลดโอกาสที่อาจเกิดรอยช้ำได้ • แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาบางชนิดชั่วคราวก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) ขึ้นอยู่กับชนิดของยา 3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมบางประเภท • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วันก่อนการฉีด

การเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดโบท็อก(Botox) Read More »

Scroll to Top