- -

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม

ก่อนอื่นหมอแนะนำผู้ที่จะเข้ามาทำการฉีดโบท็อก (Botox)  มาเช็คความพร้อมของสุขภาพกันเสียก่อน โดยจะต้องไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตรส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คนที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย และก่อนฉีดโบท็อก ไม่ควรปกปิดโรคประจำตัวกับแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ Table of Contents ข้อควรพิจารณาก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย  ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox)  แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของโรคประจำตัว: บางโรคอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือระบบประสาท ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้ ยาที่รับประทานอยู่: ซึ่งยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกันกับโบท็อก (Botox) ประวัติการแพ้ยา: หากคุณเคยแพ้ยาใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ทุกชนิดควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการฉีดโบท็อก (Botox) หมอแนะนำห้ามฉีดโบท็อก (Botox) เองโดยเด็ดขาดเนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ไม่ถูกต้อง การฉีดผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น ใบหน้าเบี้ยว ตาตก ปากตกเป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเสมอเพื่อความปลอดภัยค่ะ โรคประจำตัวใดห้ามฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส […]

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม Read More »

โบท็อก (Botox) เกาหลีกับอเมริกาตัวไหนดีกว่ากัน

การฉีดโบท็อก (Botox) ในปัจจุบันคลินิกส่วนใหญ่จะมีโบท็อก (Botox) หลายยี่ห้อให้คนไข้เลือก ซึ่งโบท็อก (Botox) เกาหลีและอเมริกาเป็นโบท็อก (Botox) ที่ได้รับความนิยมมากค่ะ สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลการฉีดโบท็อก (Botox)  หมอจะอธิบายว่าโบท็อก (Botox) เกาหลีอเมริกาคืออะไร มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจค่ะ Table of Contents โบท็อก (Botox) เกาหลี คืออะไร โบท็อก (Botox) เกาหลี คือ โบท็อก (Botox) ที่ผลิตและนำเข้ามาจากสาธารณรัฐเกาหลีหรือประเทศเกาหลีใต้ เริ่มใช้กันมาเกือบ 10 ปี ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกระแสความนิยมของนักแสดงและนักร้องเกาหลีที่โด่งดังในเมืองไทย เลยทำให้หลายคนเริ่มอยากมีใบหน้าเรียวเหมือนคนเกาหลี เมื่อโบท็อก (Botox) เกาหลีเข้ามาประเทศไทย ทุกคนจึงมีความนิยมฉีดของเกาหลี เพราะหวังว่าจะได้หน้าเรียวสวยแบบไอดอลเกาหลี และโบท็อก (Botox) เกาหลีค่อนข้างได้รับความนิยมด้วยราคาที่ถูกกว่ามาก ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจากอย. เช่นยี่ห้อ Botulax และ Nabota ความบริสุทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 98.7% โบท็อก (Botox) เกาหลีกับอเมริกาตัวไหนดีกว่ากัน

โบท็อก (Botox) เกาหลีกับอเมริกาตัวไหนดีกว่ากัน Read More »

ฉีดโบท็อก (Botox) แล้ว ห้ามทำอะไร ห้ามกินอะไร เพื่อให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นาน

หมอต้องบอกก่อนว่าการฉีดโบท็อก (Botox)จะให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราว และผลลัพธ์ของโบท็อก (Botox) จะอยู่ได้นานหรือสั้น ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อ ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) ก็เป็นส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน โดยหมอจะมาแนะนำว่าหลังฉีดโบท็อก (Botox) ควรดูแลตัวเองอย่างไร ให้โบท็อก (Botox) อยู่กับเราไปได้นานที่สุดดังนี้ค่ะ Table of Contents หลังฉีดโบท็อก (Botox) ห้ามทำอะไร การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) เป็นเรื่องสำคัญ สามารถช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีบนใบหน้าของคนไข้ได้ค่ะ 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด อย่านวด กด หรือสัมผัสแรงกับใบหน้าบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox): การสัมผัสอาจทำให้โบท็อก (Botox) กระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการส่งผลต่อผลลัพธ์ บางกรณีอาจทำให้ตาตก คิ้วตก หรือปากเบี้ยวได้ อย่านอนราบหรือนอนก้มหน้า: การนอนทันทีหลังฉีดโบท็อก (Botox) หรือก้มหน้าอาจทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ใบหน้ามากเกินไป เกิดอาการบวมหรือรอยช้ำได้และการนอนในบางกรณีถ้านอนคว้ำทำให้กดทับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้โบท็อก (Botox) กระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ งดการอยู่ในที่ร้อน: ควรหลีกเลี่ยงความร้อนโดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด

ฉีดโบท็อก (Botox) แล้ว ห้ามทำอะไร ห้ามกินอะไร เพื่อให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นาน Read More »

Botox Filler

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้ว เสริมด้วย โบท็อก (Botox) ดีไหม

คำถามนี้เป็นคำถามที่หมอได้รับบ่อย หมอขอเรียนอย่างนี้ค่ะว่าการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้ว เสริมด้วย โบท็อก (Botox) ดีไหม ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ผลลัพธ์ที่ต้องการ และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ใช้ในการเติมเต็มชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ เกิดการเปลี่ยนแปลงในผิวชั้น SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic system) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อสำคัญของกล้ามเนื้อใบหน้า Retaining Ligaments หรือเส้นเอ็นยึดผิวต่าง ๆ เกิดการหย่อนคล้อย หรือยุบตัวลง โบท็อก (Botox) เป็นสารโบทูลินั่มท็อกซินชนิด A ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว รอยหางตา Table of Contents ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย เมื่อเวลาผ่านไป

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้ว เสริมด้วย โบท็อก (Botox) ดีไหม Read More »

Juvelook vs Rejuran vs Exosome แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร ใครเหมาะกับอะไร

หลายคนมีข้อสงสัยว่า Juvelook  Rejuran และ Exosome ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตอนนี้ เกี่ยวกับเรื่องงานผิว ว่าแต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับใคร และช่วยเรื่องอะไรบ้าง ได้ดูกันเลยค่ะ Table of Contents Juvelook คืออะไร เหมาะกับใคร Juvelook เป็น Advanced Hybrid PLA Biostimulator ตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใช้ช้นผิวชนิดหนึ่ง ผลิตจากสาร PDLLA (Poly D, L-Lactic Acid) + Non-Crosslinked HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัยและย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีผลข้างเคียงต่อผิวของคนเรา ทำหน้าที่เติมเต็มร่องน้ำตา และริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณลำคอ ผิวกระจ่างใส ปรับรูขุมขนให้กระชับ  ลดเลือนรอยแผลเป็น ลดเลือนรอยแตกบนผิวหนัง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เห็นผลลัพธ์ได้ทันที ปลอดภัย เข้ากันได้ดีกับร่างกาย เติมเต็มอย่างป็นธรรมชาติ สัมพัสเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ไม่บวม ไม่อักเสบ ไม่ต้องนวด ส่งผลให้ผิวดูอิ่มฟู

Juvelook vs Rejuran vs Exosome แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร ใครเหมาะกับอะไร Read More »

Sculptra vs Juvelook ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน

Sculptra และ Juvelook เป็นคอลลาเจน ไบโอสติมูเลเตอร์ (Collagen Biostimulator) ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ทั้ง 2 ตัว ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร ตัวไหนช่วยเรื่องอะไรบ้าง มีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างไร ในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และใครเหมาะกับ คอลลาเจน ไบโอสติมูเลเตอร์ (Collagen Biostimulator) ตัวไหนมาลองดูกันเลยค่ะ Table of Contents Sculptra คือ อะไร Sculptra เป็นสารเติมเต็มผิวหนังชนิดหนึ่ง (Dermal Filler) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยใช้ Poly-L-lactic acid (PLLA) ผสมผสานระหว่าง Carboxymethylcellulose (CMC) เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ปลอดภัย และเข้ากันได้ดีกับร่างกายซึ่งถือเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติตัวแรกของโลก (The First & Original Collagen Biostimulator) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ช่วยให้ผิวกระชับ อิ่มฟู ยืดหยุ่น  ฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างผิวชั้นลึก ทำให้ผิวแข็งแรงจากภายใน

Sculptra vs Juvelook ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน Read More »

Radiofrequency (RF) Treatment คืออะไร ดีจริงไหม เห็นผลแค่ไหน

คลื่นความถี่วิทยุ (RF) คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 100 kHz ถึง 300 GHz คลื่น RF ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลากหลายสาขา รวมถึงการแพทย์ อุตสาหกรรม และการสื่อสาร ในการแพทย์ คลื่น RF ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การผ่าตัด การรักษาโรค และการตรวจวินิจฉัย การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF) เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม ใช้ในการยกกระชับผิว กำจัดริ้วรอย และลดไขมันส่วนเกิน การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF) ทำงานโดยการส่งพลังงานคลื่น RF ไปยังผิวหนัง พลังงานคลื่น RF จะทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวหนัง ความร้อนนี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง และไขมันส่วนเกินลดลง Table of Contents ประโยชน์ของการรักษาด้วย RF มีอะไรบ้าง ไม่ต้องผ่าตัด: การรักษาด้วย RF สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ แต่ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ หรือยานอนหลับ ไม่ต้องพักฟื้น:

Radiofrequency (RF) Treatment คืออะไร ดีจริงไหม เห็นผลแค่ไหน Read More »

เครื่อง RF คืออะไร 

เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังชั้นลึก โดยคลื่นความถี่วิทยุจะทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวหนังชั้นลึก ส่งผลให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน ลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยแผลเป็น นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี เทคโนโลยี RF มีหลายประเภท แต่ละประเภทจะมีความถี่และความยาวคลื่นที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ประเภทของเทคโนโลยี RF ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ RF monopolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วเดียวในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ RF bipolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วสองในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวบริเวณเล็ก ๆ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม และรอบดวงตา RF tripolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วสามในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวบริเวณกว้าง ๆ เช่น หน้าท้อง แขน ขา ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเทคโนโลยี RF จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

เครื่อง RF คืออะไร  Read More »

ฉีดโบท็อก (Botox) เจ็บไหม?

หมอขออธิบายเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก (Botox) โดยทั่วไปแล้วการฉีดโบท็อกไม่ได้เจ็บมากอยู่ในระดับที่ทนได้ การฉีดโบท็อกในแต่ละบริเวณความเจ็บจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้หมอจะมีวิธีการบรรเทาความเจ็บต่างๆ  เช่น การประคบน้ำแข็งก่อนฉีดโบท็อกจะช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนลดลง จึงทำให้บริเวณที่ประคบเย็นรู้สึกชาและเจ็บน้อยลง ทายาชา บริเวณที่จะฉีดทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จะช่วยลดความเจ็บบริเวณที่ฉีดได้ ใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษในบางบริเวณ  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษในการฉีดโบท็อก (Botox) ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดได้ค่ะ ใช้เครื่อง Vibration หรือเครื่องสั่นสะเทือน สามารถใช้เพื่อเบนความสนใจจากสิ่งเร้าเพื่อลดความเจ็บของคนไข้ค่ะ ฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการโดยไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แม้ว่าการฉีดโบท็อก (Botox) จะเจ็บน้อย แต่ความรู้สึกเจ็บก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ด้วย เช่น บริเวณที่ฉีด:การฉีดโบท็อกริ้วรอยมักเจ็บกว่าการกราม เนื่องจากบริเวณที่ฉีดโบท็อกริ้วรอยมักเป็นบริเวณที่บอบบาง เช่น บริเวณริมหน้าผาก เนื่องจากบริเวณที่ฉีดหลายจุดจึงทำให้เจ็บมากกว่า ระดับความอดทนต่อความเจ็บของแต่ละคน: แต่ละคนมีผิวที่บอบบางแตกต่างกันออกไป ความรู้สึกหรือความสามารถที่จะอดทนของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไปเช่นกันค่ะ โดยปกติแล้ว อาการเจ็บจากการฉีดโบท็อก (Botox) จะหายไปทันทีหลังจากที่ฉีดโบท็อก (Botox)เสร็จและไม่ต้องใช้เวลารักษาตัวใดๆ หลังจากฉีด สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติค่ะ Table of Contents เทคนิคการฉีดของแพทย์ส่งผลต่อความเจ็บไหม เทคนิคการฉีดของแพทย์ส่งผลต่อความเจ็บปวดจากการฉีดโบท็อก (Botox) ค่อนข้างมาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เทคนิคการฉีดที่แตกต่างกันฉีดอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน

ฉีดโบท็อก (Botox) เจ็บไหม? Read More »

โบท็อก (Botox) กรามเหมาะกับใคร อยากหน้าเรียวต้องอ่าน

หากลูกค้าท่านใดที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อก (Botox) กรามอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนที่อยากให้หน้าเรียว  เนื่องจากโบท็อก (Botox) กรามเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวยาโบท็อก (Botox) จะส่งผลให้กรามดูเล็กลงและหน้าดูเรียวขึ้น 1. ผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อและต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเป็นวีเชฟ กรามใหญ่จากกล้ามเนื้อเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากกล้ามเนื้อกรามทำงานมากเกินไป ทำให้กรามดูใหญ่ขึ้น หน้าดูเหลี่ยมหรือเป็นลักษณะสี่เหลี่ยม การฉีดโบท็อก (Botox) กรามจะเข้าไปช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง ส่งผลให้หน้าเรียวขึ้นได้ 2. ผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด: โบท็อก (Botox) กรามเป็นวิธีปรับรูปหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องแผลเป็น รอยช้ำ พักฟื้นเร็วกว่า และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัด 3.ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หน้าเรียวที่รวดเร็ว: การฉีดโบท็อกกรามใช้เวลาในการทำไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที หลังฉีดเสร็จสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตปกติได้โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ขอแนะนำก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox) ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินใบหน้าและความเหมาะสมของการรักษา  แพทย์จะวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้า สาเหตุของกรามใหญ่เช่น เกิดจากกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือเกิดจากไขมันสะสม และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณค่ะ Table of Contents กรณีใดบ้างที่อยากหน้าเรียวแต่ไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกกราม 1.ผู้ที่ไม่มีกล้ามเนื้อกรามหรือมีกล้ามเนื้อกรามน้อยมากการฉีดโบท็อกกรามจะไม่ส่งผลให้หน้าเรียวขึ้นเพราะกล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กอยู่แล้วแพทย์อาจแนะนำหัตถการอื่น 2.ปัญหาที่หน้าไม่เรียวเนื่องจากไขมันแพทย์จะแนะนำให้ฉีดสลายไขมันมากกว่าเพราะการฉีดโบท็อก (Botox) กรามจะไม่ช่วยลดไขมัน 3.โครงหน้ากระดูกเหลี่ยมคนไข้ที่ไม่มีไขมันและกรามเนื้อกรามที่เยอะกรณีดังกล่าวต้องทำศัลยกรรมเท่านั้นกรณีนี้การฉีดโบท็อก

โบท็อก (Botox) กรามเหมาะกับใคร อยากหน้าเรียวต้องอ่าน Read More »

Scroll to Top