8 ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อก (Botox)

การฉีดโบท็อกเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะทำได้ง่ายและไว และมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งนี้หมอขอมาอธิบายรายละเอียดและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปดังนี้ค่ะ

Table of Contents

1. ข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อก (Botox)

ข้อดีของโบท็อก (Botox)

ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยระหว่างคิ้ว หางตา และรอยตีนกา

ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยทำให้กล้ามเนื้อมัดกรามมีขนาดเล็กลง กรอบหน้าดูชัดเจน

สามารถใช้ยกกระชับกรอบหน้าได้ ทำให้กรอบชัดและผิวยกกระชับ

ช่วยให้หน้าใสขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ชั้นผิวได้

ช่วยกระชับรูขุมขนได้ดี

ช่วยลดภาวะเหงื่อออกมากเกินปกติ ตามรักแร้ มือ เท้า ได้ ลดกลิ่นตัวที่มาจากความอับชื้น

ช่วยเรื่อง Office Syndrome กล้ามเนื้อคอแข็ง ได้

สามารถทำได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

ข้อเสียของโบท็อก (Botox)

ไม่ใช่การรักษาที่ถาวร ควรทำต่อเนื่อง 4-6 เดือนขึ้นไปสามารถย้ำได้

อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการบวม แดง ช้ำ บริเวณที่ฉีดปวดศีรษะ ตาพร่า มึนงง ในบางราย

หากฉีดถี่เกินไป หรือเปลี่ยนยี่ห้อไปมา อาจทำให้ดื้อโบได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อก (Botox) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในคนไข้บางรายค่ะ

อาการบวม แดง ช้ำ บริเวณที่ฉีด มักเป็นอาการปกติและจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 1-2 วัน

ปวดศีรษะ ตาพร่า มึนงง 

กลืนลำบาก

กล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณที่ฉีด 

และหากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญอาจ ตาตก ปากเบี้ยว ยิ้มไม่สมมาตร ได้ แต่อาการจะไม่อยู่ถาวร จะค่อยๆดีขึ้นเองใน 1 เดือน ทั้งนี้หากเกิดขึ้นกับท่านใด ควรรีบแจ้งแพทย์ที่ทำการรักษาให้ช่วยแก้ไขให้ทันท่วงที

2.ความสำคัญของการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีดโบท็อก (Botox)

การปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ใบหน้า และปัญหาใบหน้า เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีดโบท็อกมีความสำคัญมากดังนี้

เพื่อความปลอดภัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยรวมของคนไข้ เพื่อประเมินว่าคนไข้เหมาะสมกับการฉีดโบท็อก (Botox) หรือไม่ หากคนไข้มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคมะเร็งโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง โรคระบบประสาท กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร แพทย์อาจพิจารณาไม่ฉีดโบท็อก(Botox) ให้กับคนไข้

เพื่อผลลัพธ์ที่ดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของคนไข้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย แพทย์จะคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณโบท็อก (Botox)ที่ใช้เทคนิคการฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด

เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คนไข้เข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อก(Botox) และสามารถเตรียมรับมือได้อย่างเหมาะสม หากคนไข้มีอาการผิดปกติหลังฉีด ก็สามารถแจ้งให้แพทย์ทราบได้ทันที

3.ฉีดโบท็อก (Botox) ส่วนไหนได้บ้าง

โบท็อก (Botox) สามารถฉีดได้หลายส่วนบนใบหน้าและร่างกายขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาที่อยากแก้ไข โดยจุดที่นิยมฉีดหมอขอชี้แจงตามวัตถุประสงค์ดังนี้ค่ะ

สำหรับลดริ้วรอย

หน้าผาก: ลดริ้วรอยแนวเส้นตรงระหว่างคิ้ว

ระหว่างคิ้ว: ลดริ้วรอยรูปตัว 11 ที่เกิดจากการขมวดคิ้ว

หางตา: ลดริ้วรอยตีนกา

ใต้ตา: ลดริ้วรอยใต้ตา

คอ: ลดริ้วรอยแนวนอนบริเวณคอ (Horizontal neck bands)

สำหรับปรับรูปหน้า

กราม: ลดกราม ทำให้หน้าเรียวขึ้น

ปีกจมูก: ปรับรูปทรงจมูกให้ดูแคบลง

สันจมูก: ทำให้สันดูชัดขึ้น

กรอบหน้าและคอ: เพื่อยกกระชับ

คาง: เพื่อให้มุมปากไม่ตก

สำหรับงานผิว

หน้าแก้ม: เพื่อกระชับรูขุมขน ทำให้หน้าใสขึ้นได้

สำหรับบริเวณอื่นๆ

 รักแร้: ลดเหงื่อใต้รักแร้

ฝ่ามือ: ลดเหงื่อที่ฝ่ามือ

ฝ่าเท้า: ลดเหงื่อที่ฝ่าเท้า

กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่: ช่วยลดอาการปวดศีรษะจาก Office Syndrome

กล้ามเนื้อตา: ช่วยแก้ไขอาการตาเหล่

4.เครื่องดื่มที่ควรงดหลังฉีดโบท็อก (Botox)

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มการกระจายตัวของโบท็อก (Botox) ทำให้ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร อีกทั้งแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อบวม แดง ช้ำ บริเวณที่ฉีด

2. เครื่องดื่มคาเฟอีน

คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox) ทำให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน หมอขอแนะนำให้ปรับเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร เป็นต้น

3. เครื่องดื่มชูกำลัง

เครื่องดื่มชูกำลังมีส่วนผสมของคาเฟอีนและสารกระตุ้นอื่นๆส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับกาแฟแนะนำให้เลือกเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมเหล่านี้

ระยะเวลาที่ควรหยุดเครื่องดื่มเหล่านี้

โดยทั่วไปแนะนำให้งดดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อก (Botox) หรือให้ดีที่สุด 1-2 อาทิตย์หลังฉีด เพื่อให้โบท็อกได้ทำงานเต็มที่ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็อาจต้องยอมรับว่าผลลัพธ์อาจอยู่ได้สั้นลง

สำหรับเครื่องดื่มคาเฟอีน เครื่องดื่มร้อน เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง สามารถปรับลดปริมาณหรือหยุดชั่วคราว 2-3 วันแรกหลังฉีดโบท็อก (Botox)

5.การหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox)

การเข้า Sauna/ Steam หรือโยคะร้อน ความร้อนอาจส่งผลเสียต่อผลลัพธ์และเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงได้ ดังนี้

ทำให้โบท็อก (Botox) ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ความร้อนอาจเพิ่มการกระจายตัวของโบท็อก (Botox) ทำให้เกิดการกระจายตัวไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ ส่งผลให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนหรืออาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากเบี้ยว

เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการบวม แดง ช้ำ ความร้อนอาจกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณที่ฉีด ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น ส่งผลให้อาการบวม แดง ช้ำ นานขึ้นหรือรุนแรงขึ้น

ดังนั้น หลังฉีดโบท็อก (Botox) ควรหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ค่ะ

6.งดการนวดหน้า กดจุด หรือนอนคว่ำหน้า บริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox)

งดการนวดหน้าและกดจุดบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox) มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีดรวมถึงการนอนคว่ำภายใน 3 ชั่วโมงแรก มีความเสี่ยง หมอขออธิบายเหตุผลดังนี้ค่ะ

1. ป้องกันการกระจายของโบท็อก (Botox): การนอนคว่ำใน 3 ชั่วโมงแรกอาจกดทับบริเวณที่ฉีดโบ รวมถึงการนวดหน้าหรือกดจุดสามารถทำให้โบท็อกที่ฉีดเข้าไปกระจายออกไปจากตำแหนกเป้าหมายไปยังบริเวณใกล้เคียงได้ ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ตรงตามที่ต้องการ เช่น เกิดริ้วรอยใหม่ในบริเวณที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือตาตก ปากเบี้ยวได้

2. ลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง: การกระตุ้นบริเวณที่ฉีดอาจทำให้เกิดรอยช้ำ บวม หรืออาการระคายเคืองได้มากขึ้น

3. ช่วยให้โบท็อก (Botox) ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ: การปล่อยให้โบท็อกที่ฉีดไปไม่โดนการรบกวน ช่วยให้โบท็อก(Botox) เข้าสู่ปลายประสาทและออกฤทธิ์ได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

7.การออกกำลังกายหลังการฉีดโบทอก (Botox)

หลังจากฉีดโบท็อก การออกกำลังกายโดยทั่วไปสามารถทำได้แต่มีข้อควรระวังและช่วงเวลาที่เหมาะสมดังนี้ค่ะ

ช่วงเวลาที่ควรเว้นการออกกำลังกาย

4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด: ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักและการเล่นโยคะหลังฉีด 4 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงโบท็อกกระจายออกจากตำแหน่งเป้าหมาย

24-48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด: ต้องระวังการขยับใบหน้ามากเกินไป ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เลือดสูบฉีดแรง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ

กิจกรรมที่ควรระวังหลังฉีดโบท็อก (Botox)

กิจกรรมที่ทำให้ความร้อนขึ้นมากๆ: งดซาวน่า สปา โยคะร้อนเข้าฟิตเนสที่อากาศร้อน เนื่องจากความร้อนอาจทำให้ผลลัพธ์ของโบท็อกอยู่ได้สั้นลง

กิจกรรมที่เสี่ยงโดนกระแทกใบหน้า: ควรงดกีฬาที่มีโอกาสโดนใบหน้า เช่น มวย เทควันโด บาสเก็ตบอล เป็นต้น

ทั้งนี้หลังจากครบ 48 ชั่วโมงที่ฉีดโบท็อก (Botox) ไปแล้ว สามารถกลับมาทำกิจกรรมบางอย่างได้นะคะ เช่น

เริ่มกลับมาออกกำลังกายได้ แต่ยังควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก

ออกกำลังกายเบาๆ เน้นยืดเหยียด ประเภทเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานช้าๆ หรือโยคะเบาๆ

8.การดื้อยาจากการเปลี่ยนแบรนด์โบท็อก(Botox) บ่อย

ภาวะดื้อโบท็อก (Botox resistance) อาจเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแบรนด์บ่อย

โบท็อก (Botox) ต่างแบรนด์ มีสารออกฤทธิ์หลักเหมือนกัน คือBotulinum toxin แต่ความบริสุทธิไม่เท่ากัน การได้รับโบท็อกที่บริสุทธ์น้อย อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและส่งผลให้ดื้อโบในที่สุด

การเปลี่ยนแบรนด์อาจช่วยให้เห็นผลลัพธ์ดีขึ้นชั่วคราวเนื่องจากภูมิคุ้มกันยังจำไม่ได้แม่นยำ แต่สุดท้ายก็อาจนำไปสู่การดื้อโบท็อก (Botox) อยู่ดี

ทั้งนี้ การดื้อโบท็อก (Botox) อาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่เกิดจากการเปลี่ยนแบรนด์เพียงอย่างเดียว สามารถเกิดจากการฉีดที่ถี่เกินไป หรือ สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ควรเลือกฉีดโดยคลินิกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก ปฏิบัติตามคำแนะนำ และหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

Related Articles

แนะนำ 6 วิธีกระชับรูขุมขนแบบไว เห็นผลจริง แถมหน้าใสขึ้นด้วย

ปัญหารูขุมขนกว้างมักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือหน้ามันได้ง่าย การกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ได้ผลเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มาดู 5 วิธีที่ช่วยกระชับรูขุมขนแบบไว พร้อมเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยโทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก การทำความสะอาดรูขุมขนเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความมันและสิ่งสกปรกที่อุดตัน โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยละลายคราบมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวสำหรับการบำรุงขั้นถัดไป นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30+ อย่างเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องของการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA อีกด้วย เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ 2. มาสก์โคลนเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน มาสก์โคลนช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกระชับและผิวหน้าสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรใช้มาสก์โคลนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยปล่อยให้มาสก์โคลนแห้งบนผิวหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้มาสก์จะทำหน้าที่ดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกจากผิวหน้าลงสู่ชั้นล่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามาสก์แห้งและตึงผิว ควรล้างออกด้วยน้ำอุ่น การใช้มาส์กโคลนนั้น นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าแล้ว ก็ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดความมันส่วนเกิน ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูสะอาดสดใสขึ้น 3. การใช้น้ำแข็งประคบผิวหน้าสำหรับการกระชับรูขุมขนทันที วิธีนี้ง่ายและได้ผลทันทีเมื่อคุณต้องการให้ผิวดูกระชับ โดยการนำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วประคบเบา ๆ บนผิวหน้า น้ำแข็งจะช่วยหดตัวรูขุมขนชั่วคราว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเพื่อช่วยให้เมคอัพติดทนนาน

Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ช่วยยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม

อยากมีผิวสวยกระชับ ดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่นต่างๆ คอยกวนใจแต่ไม่อยากผ่าตัดยกกระชับ ไม่อยากฉีดสารสังเคราะห์ทั้งพวกโบท็อกซ์ (Botox) หรือฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายทำได้หรือไม่? โจทย์งานผิวจะยากเพียงใดแต่นวัตกรรมยกกระชับผิวอย่าง Ultraformer ก็เอาอยู่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับ ลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆ ใต้ชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งแรกที่ทำ สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้สวยหล่อดูมั่นใจมากขึ้นและกำลังมีแพลนทำ Ultraformer แต่ยังไม่มั่นใจว่า Ultraformer ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ หลังทำ Ultraformer ช่วยคงผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม? มาดูทุกคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) Table of Contents Ultraformer คืออะไร? Ultraformer (อัลตราฟอร์เมอร์) คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทรงวีเชฟ (V-shape) โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงและมีความเฉพาะเจาะจงแบบ MMFU (Micro & Macro Focus Ultrasound) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular

โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ โหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิง เสริมเสน่ห์ สร้างบารมี ปรับหน้าสวยทั้งทีต้องดีทุกด้าน

โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ความสวยที่ไม่ใช่แค่เพียงถูกหลักความงามทางวิทยาศาสตร์อย่าง Golden Ratio แต่ยังต้องสอดคล้องเข้ากับหลักโหงวเฮ้ง (Mien Shiang) ศาสตร์ของการทำนายทายทักคุณสมบัติและอุปนิสัยของแต่ละบุคคลได้จากลักษณะภายนอก มากไปกว่านั้นคุณผู้หญิงหลายๆ ท่านยังมีความเชื่อว่าโหงวเฮ้งใบหน้าที่ดีจะช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ทำให้ใบหน้าสวยงามน่ามองทั้งยังเป็นการช่วยเติมเต็มพลังบวกดึงดูดแต่เรื่องดีๆ ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้านของชีวิตไม่ว่าจะเป็นการเงิน การงาน สุขภาพ ความรักและครอบครัว สาวๆ คนไหนที่กำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิง โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ต้องเป็นแบบไหน? ปรับโหงวเฮ้งใบหน้าให้ดีขึ้น ทำได้อย่างไร? ตามมาเสริมพลังความสวยด้วยหลักโหงวเฮ้งใบหน้าในบทความนี้ของลินนา คลินิก (LINNA Clinic) กันได้เลยค่ะ ลักษณะโหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ใบหน้าผู้หญิง ที่ดีต้องเป็นอย่างไร? หากอิงจากตำราความเชื่อของชาวจีนแล้วนั้นลักษณะโหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ประกอบไปด้วย 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่ หน้าผาก ตา จมูก ปาก และคาง โดยที่ทุกอย่างจะต้องมีสัดส่วนที่สมดุลรับเข้ากันได้อย่างพอเหมาะ ดังนี้ หน้าผาก หน้าผากนับเป็นส่วนที่อยู่ด้านบนสุดของใบหน้าจึงเปรียบเสมือนจุดพลังงานสำคัญที่จะช่วยเสริมโชคชะตา โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ที่บริเวณหน้าผากต้องมีลักษณะกลมมน มีความโหนกนูนในระดับที่พอเหมาะไม่ยกสูงหรือราบเรียบจนเกินไป และที่สำคัญโหงวเฮ้งหน้าผากผู้หญิงที่ดูดี ช่วยเพิ่มบารมี โชคลาภวาสนาจะต้องเป็นหน้าผากที่ดูเกลี้ยงเกลา ไม่มีรอยบุ๋ม ไม่มีรอยแผลเป็นหรือริ้วรอยร่องลึกต่างๆ

Scroll to Top