6 ความแตกต่างระหว่าง Ulthera และ Hifu แบบไหนดีกว่ากัน

ปัจจุบันนวัตกรรมความงามเพื่อผิวยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียว ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหัตถการยกกระชับผิวรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลา อย่าง Ulthera และ Hifu เป็นเทคโนโลยีที่ผู้คนให้ความสนใจและถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ เพราะทั้ง 2 หัตถการนี้ใช้เทคโนโลยีที่แทบจะใกล้เคียงกัน บ้างก็สงสัยว่า Ulthera กับ Hifu แตกต่างกันอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียแบบไหน แล้วควรเลือกทำแบบไหนดีกว่ากัน มาทำความรู้จัก Ulthera และ Hifu ให้ดีมากขึ้นผ่านบทความนี้กันค่ะ

Ulthera กับ Hifu คืออะไร

อัลเทอรา (Ulthera) หรือ Ultherapy (อัลเทอราพี) เป็นเทคโนโลยีต้นแบบของการยกกระชับ ปรับหน้าให้เรียว ด้วยการใช้คลื่นเสียงพลังงานสูง ขนาดจุด focus 1 mm. ยิงเข้าไปยังเนื้อเยื่อในผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกันกับที่แพทย์ผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงผิวหน้า (Face Lift) เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีริ้วรอยร่องลึก จากอายุที่เพิ่มขึ้น

ไฮฟู่ Hifu (Hight Intensity Focus Ultrasound) คือ นวัตกรรมยกกระชับผิว ที่ถูกถอดแบบมาจากเครื่อง Ulthera ใช้หลักการทำงานโดยการยิงคลื่นเสียงพลังงานสูงไปใต้ชั้นผิวเช่นเดียวกัน แต่มีราคาที่ย่อมเยากว่ามากเมื่อเทียบกับการทำ Ulthera (ราคาการทำ Ulthera ต่อครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 10,000-100,000 บาท ในขณะที่การทำ Hifu มีราคาโดยเฉลี่ย 1,000-40,000 บาท/ครั้ง) โดยเครื่อง Hifu ถูกพัฒนาออกมาหลากหลายยี่ห้อ หลายแบบ อีกทั้งยังมีให้เลือกใช้หลายเกรด ทำให้ประสิทธิภาพที่ได้หลังจากการทำ Hifu จึงแตกต่างกันออกไปตามคุณภาพและมาตรฐานของเครื่อง Hifu ที่แต่ละคลีนิกเลือกใช้ด้วยค่ะ

เราสามารถจำแนกประเภทของเครื่อง Hifu ตามลักษณะของคลื่นพลังงานที่ปล่อยออกมาได้ 3 ชนิด ได้แก่

  1. Hifu Microfocused มีจุด focus ขนาด 0.3-0.5 mm. ซึ่งจุดพลังงานที่ปล่อยออกมามีขนาดเล็ก ลงลึกได้ถึงชั้น SMAS ในระดับความลึก 4.5 mm. โดยข้อเสียของ Hifu รูปแบบนี้คือ จุดพลังงานที่ปล่อยออกมามีขนาดค่อนข้างเล็ก ค่าพลังงานอาจไม่เสถียร ยิงออกมาไม่เท่ากันในบางจุด
  2. Hifu Macrofocused เป็น Hifu ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ เพื่อให้ค่าพลังงานที่ปล่อยออกมามีความคงที่และเสถียรเท่ากันมากขึ้น มีจุด focus ขนาด 0.5-1 mm. มีระดับพลังงานสูงกว่าแบบ Microfocused ประมาณ 8 เท่า เหมาะกับการยิงลงไปในผิวชั้นลึกที่ะดับ 6, 9 และ 13 mm. ซึ่งเป็นชั้นของกลุ่มไขมันใต้ชั้นผิว
  3. Hifu MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) เป็น Hifu ที่นำข้อดีของคลื่นพลังงานทั้ง 2 แบบมารวมกัน เพื่อให้แพทย์ผู้ทำหัตถการปรับใช้ค่าพลังงานได้ทั้งแบบจุด focus ขนาดเล็ก (0.3-0.5 mm.) และจุด focus ขนาดใหญ่ เพื่อให้คลื่นพลังงานส่งไปยังชั้นผิวที่ต้องการรักษาได้อย่างล้ำลึก แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ

6 ข้อแตกต่างระหว่างการทำ Ulthera และ Hifu

1. มีขนาดของจุด Focus ที่แตกต่างกัน

โดยขนาดจุด focus ของเครื่อง Ulthera จะอยู่ที่ 1 mm. ซึ่งต่างกับขนาดจุด focus ของ Hifu ที่มีขนาดประมาณ 0.3-0.5 mm. จุด focus ที่มีขนาดใหญ่กว่า มีข้อดี คือ สามารถยิงค่าพลังงานระดับสูงออกมาได้ค่อนข้างเสถียรและคงที่เท่ากันแทบทุกช็อต แต่ข้อเสียที่ชัดเจนคือ คนไข้มักจะทนความเจ็บจากการทำ Ulthera ไม่ได้ จนต้องขอให้แพทย์แปะยาชาหรือปรับลดค่าพลังงานลง

2. Ulthera ยิงพลังงานในรูปแบบ Line Shot

คือ เมื่อกดเครื่องมือ 1 ครั้ง เครื่อง Ulthera จะยิงพลังงานออกมาเป็นเส้น 1 เส้น ที่มีหลาย dot เรียงต่อกัน ในขณะที่เครื่อง Hifu สามารถยิงได้ทั้งแบบ Line Shot และ Single Dot (เมื่อกดเครื่องมือ 1 ครั้ง จะยิงพลังงานออกมา 1 dot) ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่แต่ละคลีนิกเลือกใช้

3. Ulthera เจ็บกว่าการทำ Hifu มาก

ด้วยจุด focus ขนาด 1 mm. และการยิงค่าพลังงานแบบ Line Shot ของเครื่อง Ulthera ทำให้ค่าพลังงานที่ปล่อยออกมาแรงกว่าและส่งค่าพลังงานไปยังชั้นผิวได้ลึก แต่ผลที่ตามมาคือจะทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บมากๆในขณะที่ทำหัตถการ จนบางครั้งคนไข้ทนทำต่อไม่ไหวก็มีเหมือนกันค่ะ ในบางรายต้องแปะยาชาและให้แพทย์ปรับลดค่าพลังงานที่ใช้ลง เพื่อให้สามารถทนต่อได้จนจบขั้นตอนการรักษา

4. Ulthera มีหน้าจอแสดงชั้นผิวแบบ Real Time

ความแตกต่างอย่างชัดเจนของเครื่อง Ulthera คือ มีหน้าจอสำหรับแสดงชั้นผิวของคนไข้แบบ Real Time แพทย์จึงสามารถมองเห็นสภาพผิวแต่ละชั้นของคนไข้ได้ตลอดเวลา ทำให้กำหนดจุดยิงพลังงานได้แม่นยำมากขึ้น

แต่โดยส่วนมากแล้วนั้นแพทย์ที่ทำการรักษาจะไม่ได้ละสายตาไปมองจอทุกครั้งที่ยิงพลังงานลงไปในชั้นผิว เพราะจะทำให้ใช้เวลาในการรักษานานมาก (ประมาณ 60-90 นาที) ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะอาศัยหน้าจอแสดงผลแบบ Real Time เมื่อยิงพลังงานลงไปในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ลึกที่สุดเท่านั้น ส่วนการยิงในผิวชั้นบนและชั้นไขมันที่ตื้นกว่า แพทย์จะยิงโดยไม่ต้องอ่านค่าจากจอ ซึ่งส่วนนี้ผลที่ได้ก็แทบไม่ต่างไปจากกันทำ Hifu ที่ไม่มีหน้าจอสำหรับแสดงผลเลยค่ะ

5. ผลลัพธ์หลังการทำ Ulthera และ Hifu อยู่ได้นานไม่เท่ากัน

เพราะจุด Focus ของ Ulthera มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้ยิงค่าพลังงานได้แรงกว่า เสถียรเท่ากันทุกช็อตและยิงลงสู่ชั้นผิวได้ค่อนข้างลึก จึงส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้หลังการทำ Ulthera และ Hifu มีความแตกต่างกัน

  • การทำ Ulthera 1 ครั้ง สามารถเห็นผลหลังทำได้ทันทีที่ 20-30% ผลลัพธ์หลังการทำอยู่ได้นาน 1-2 ปี สามารถทำซ้ำได้ทุกปี
  • การทำ Hifu 1 ครั้ง เห็นผลลัพธ์หลังการทำได้ทันทีที่ 10-20% ช่วยให้ผิวดูกระชับ ใบหน้าเรียวสวยได้นาน 6-12 เดือน และสามารถทำซ้ำได้ทุกๆ 4-6 เดือน

ทั้งนี้ผลลัพธ์และระยะเวลาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยเช่นกันค่ะ ทั้งสภาพผิวของแต่ละบุคคล พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการดูแลผิวหลังการทำหัตถการ

6. Ulthera มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำ Hifu

ราคาโดยเฉลี่ยของการทำ Ulthera แต่ละครั้งจะอยู่ที่ 10,000 – 100,000 บาท/ครั้ง ส่วนการทำ Hifu มีราคาเฉลี่ยประมาณ 1,000-40,000 บาท/ครั้ง ทั้งนี้ราคาที่ต้องจ่ายขึ้นอยู่กับบริเวณที่คนไข้ต้องการทำและจำนวน Shot ที่ต้องใช้ แต่โดยภาพรวมแล้วนั้นราคาต่อ Shot ของ Ulthera ก็แพงกว่าการทำ Hifu อยู่ดีค่ะ

แล้วแบบนี้ Ulthera หรือ Hifu ควรเลือกทำแบบไหน

หากคุณมีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับเต่งตึง ในระดับปานกลาง-สูง อยากทำครั้งเดียวให้เสร็จไปเลย ไม่ต้องมาทำซ้ำหลายครั้ง การทำ Ulthera อาจตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือ อาการเจ็บมากๆในขณะที่ทำและค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ค่อนข้างแพง

แต่หากคุณมีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ในระดับเริ่มต้น-ปานกลาง ไม่อยากทนเจ็บในระหว่างการทำ สามารถเข้ามาทำซ้ำได้เรื่อยๆ Hifu คือคำตอบสำหรับคุณอย่างแน่นอน

Linna Clinic เรามาพร้อมกับสุดยอดนวัตกรรมใหม่ของ Hifu ที่แตกต่างไปจาก Hifu รูปแบบทั่วไป เจ็บน้อยกว่าเดิมมาก ไม่ต้องแปะยาชา ให้การทำ Hifu ง่ายยิ่งกว่า คุ้มค่ายิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้เทียบเท่ากับการทำ Ulthera!!

Linna Hifu นวัตกรรม Hifu ใหม่ล่าสุดจากเกาหลี

ด้วยความพิเศษของเครื่อง Linna Hifu นวัตกรรมยกกระชับใบหน้า ปรับผิวให้เต่งตึง เครื่องแรกและเครื่องเดียวที่ได้รับรองมาตรฐานจากสมาคมแพทย์ผิวหนังในประเทศเกาหลี มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด TDT (Thermal Diffusion Technology) ปล่อยพลังงานแบบ Single Dot ทำให้ไม่เจ็บ ไม่ต้องแปะยาชาและไม่ต้องพักฟื้น

Hifu ที่ Linna Clinic ดีกว่า Hifu ทั่วไปอย่างไรบ้าง

  • เครื่อง UltraV Hifu Plus ที่ Linna Clinic โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด TDT (Thermal Diffusion Technology) ส่งพลังงานลงไปยังผิวชั้นลึกได้อย่างล้ำลึกและแม่นยำ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อและผิวบริเวณรอบข้าง
  • ปล่อยพลังงานแบบ Single Dot ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ (หรือเจ็บน้อยมากๆ) จนไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องหยุดพัก แพทย์จึงทำการรักษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เทียบกับ Hifu รูปแบบทั่วไปที่ยิงพลังงานแบบ Line Shot ทำให้คนไข้เกิดอาการเจ็บและเมื่อยผิวหน้า จนอาจต้องแปะยาชาหรือหยุดพักระหว่างทำ ทำให้ใช้เวลาในการรักษานานกว่า
  • คลื่นพลังงาน MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ผสานข้อดีของคลื่นพลังงานทั้ง 2 รูปแบบเข้าด้วยกัน สามารถปรับค่าพลังงานให้ลงลึกครบทั้ง 3 ชั้นผิว (ผิวชั้นบน ขั้นไขมัน และชั้น SMAS) ค่าพลังงานเสถียรเท่ากันทุกจุด กระจายพลังงานได้ทั่วบริเวณ ให้ผลลัพธ์ดีกว่า Hifu ทั่วไปถึง 8 เท่า!!
  • หัวยิง Pen Applicator มีขนาดที่เรียวเล็กกว่า แต่ค่าพลังงานที่ปล่อยออกมาคงความเสถียรเหมือนเดิม ช่วยให้เข้าถึงบริเวณที่มีขนาดเล็กหรือแคบได้สะดวกขึ้น เก็บรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ เช่น บริเวณรอบดวงตา หางตา ร่องแก้ม หรือบริเวณมุมปาก นอกไปจากนี้หัวยิงแบบ Pen Applicator ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นลึก ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน และช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอกัน
  • UltraV Hifu Plus เครื่อง Hifu เครื่องแรกและเครื่องเดียวที่ได้รับรองมาตรฐานจากสมาคมแพทย์ผิวหนังในประเทศเกาหลี ผ่านการรับรองทั้ง อย. ของประเทศเกาหลี (KFDA) และ อย. ของประเทศไทย (Thai FDA) มั่นใจได้เลยค่ะว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน
  • ออกแบบการรักษาและดำเนินหัตถการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกเคส

ท่านไหนที่กำลังสนใจ มีคำถามหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Hifu สามารถแวะเข้ามารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Linna Clinic หรือสามารถแอดไลน์เข้ามาเพื่อพูดคุยกันได้เลยนะคะ

Related Articles

แนะนำ 6 วิธีกระชับรูขุมขนแบบไว เห็นผลจริง แถมหน้าใสขึ้นด้วย

ปัญหารูขุมขนกว้างมักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือหน้ามันได้ง่าย การกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ได้ผลเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มาดู 5 วิธีที่ช่วยกระชับรูขุมขนแบบไว พร้อมเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยโทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก การทำความสะอาดรูขุมขนเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความมันและสิ่งสกปรกที่อุดตัน โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยละลายคราบมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวสำหรับการบำรุงขั้นถัดไป นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30+ อย่างเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องของการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA อีกด้วย เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ 2. มาสก์โคลนเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน มาสก์โคลนช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกระชับและผิวหน้าสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรใช้มาสก์โคลนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยปล่อยให้มาสก์โคลนแห้งบนผิวหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้มาสก์จะทำหน้าที่ดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกจากผิวหน้าลงสู่ชั้นล่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามาสก์แห้งและตึงผิว ควรล้างออกด้วยน้ำอุ่น การใช้มาส์กโคลนนั้น นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าแล้ว ก็ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดความมันส่วนเกิน ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูสะอาดสดใสขึ้น 3. การใช้น้ำแข็งประคบผิวหน้าสำหรับการกระชับรูขุมขนทันที วิธีนี้ง่ายและได้ผลทันทีเมื่อคุณต้องการให้ผิวดูกระชับ โดยการนำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วประคบเบา ๆ บนผิวหน้า น้ำแข็งจะช่วยหดตัวรูขุมขนชั่วคราว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเพื่อช่วยให้เมคอัพติดทนนาน

Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ช่วยยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม

อยากมีผิวสวยกระชับ ดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่นต่างๆ คอยกวนใจแต่ไม่อยากผ่าตัดยกกระชับ ไม่อยากฉีดสารสังเคราะห์ทั้งพวกโบท็อกซ์ (Botox) หรือฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายทำได้หรือไม่? โจทย์งานผิวจะยากเพียงใดแต่นวัตกรรมยกกระชับผิวอย่าง Ultraformer ก็เอาอยู่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับ ลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆ ใต้ชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งแรกที่ทำ สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้สวยหล่อดูมั่นใจมากขึ้นและกำลังมีแพลนทำ Ultraformer แต่ยังไม่มั่นใจว่า Ultraformer ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ หลังทำ Ultraformer ช่วยคงผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม? มาดูทุกคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) Table of Contents Ultraformer คืออะไร? Ultraformer (อัลตราฟอร์เมอร์) คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทรงวีเชฟ (V-shape) โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงและมีความเฉพาะเจาะจงแบบ MMFU (Micro & Macro Focus Ultrasound) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular

Radiesse vs Sculptra เทียบกันแบบชัดๆ เลือกตัวไหนดีกว่ากัน

Radiesse vs Sculptra อันไหนดีกว่ากัน? ควรเลือกฉีดตัวไหน? เป็นคำถามที่ถูกถามเข้ามาเป็นประจำสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์กระชับ เรียบเนียนอยู่เสมอเพราะการดูแลผิวด้วย Radiesse และ Sculptra ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวได้อย่างล้ำลึกและคงผลลัพธ์ยาวนานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์จึงทำให้ทั้ง 2 หัตถการนี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและระยะเวลาในการคงผลลัพธ์ที่ดูคล้ายคลึงกันของ Radiesse vs Sculptra จึงอาจทำให้หลายคนเกิดความสงสัยได้ว่า Radiesse กับ Sculptra ต่างกันอย่างไร ควรเลือกทำแบบไหนดีกว่ากัน บทความนี้จากลินนา คลินิก (LINNA Clinic) จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Radiesse และ Sculptra กันให้มากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างผลลัพธ์การดูแลผิวที่ตรงใจได้มากที่สุด Table of Contents Radiesse คืออะไร Radiesse (เรเดียสซ์) คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ใช้ส่วนประกอบสำคัญเป็นสาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่พบอยู่ในร่างกายของมนุษย์แค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่ผลิตและพัฒนาโดย Merz Aesthetics ประเทศเยอรมนี

Scroll to Top