การเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดโบท็อก(Botox)

การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้การฉีดราบรื่น ผลลัพธ์ออกมาดี และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง ดังนั้นหมอขอแนะนำดังนี้ค่ะ

Table of Contents

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อก (Botox)

1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงามประจำการ

ปรึกษาแพทย์ถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และเพื่อรับการประเมินว่าเหมาะสมกับการฉีดโบท็อก (Botox) หรือไม่

แจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ยาที่กำลังรับประทาน ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์และยาพื้นบ้าน

แจ้งการรักษาความงามอื่นๆ ที่เคยทำ เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ศัลยกรรม เป็นต้น

2. งดยาบางชนิด

แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่ โดยเฉพาะยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาสมุนไพร ยาเสริมอาหารบางชนิดที่ทำให้เลือดไหลเวียนดี คอลลาเจน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ แนะนำให้เลี่ยง 1 อาทิตย์ก่อนฉีดเพื่อลดโอกาสที่อาจเกิดรอยช้ำได้

แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาบางชนิดชั่วคราวก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) ขึ้นอยู่กับชนิดของยา

3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมบางประเภท

งดการดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วันก่อนการฉีด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ

เลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดไหลเวียนแรง เช่น การออกกำลังกายหนัก สปา อาบน้ำร้อน ซาวน่า เป็นต้น

เลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ หรือการผลัดเซลล์ผิวหน้าในช่วง1-2 วันก่อนการฉีด

4. ทำความสะอาดใบหน้า

คนไข้สามารถล้างทำความสะอาดใบหน้าก่อนไปฉีดโบท็อก(Botox) โดยไม่ต้องทาครีมหรือเครื่องสำอางใดๆ

5. เตรียมตัวด้านจิตใจ

เตรียมตัวอธิบายให้แพทย์ฟังว่าบริเวณไหนบ้างที่ต้องการฉีดโบท็อก (Botox)

แจ้งความต้องการว่า ต้องการฉีดแบบให้ดูธรรมชาติ หรือตึงเป๊ะ เพื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามความต้องการ

คาดหวังผลลัพธ์แบบสมเหตุสมผล โดยต้องเข้าใจว่าโบท็อก(Botox) ช่วยทำให้ริ้วรอยดูจางลง แต่ไม่ได้หายไปหมดอย่าง100%

ไม่ควรกังวลมากเกินไป ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และสังเกตอาการหลังฉีด

การดูแลหลังฉีดโบท็อก (Botox)

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) เป็นเรื่องสำคัญ สามารถช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีบนใบหน้าของคนไข้ได้ค่ะ

4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด

อย่านวด กด หรือสัมผัสใบหน้าบริเวณที่ฉีดโบท็อก(Botox): การสัมผัสอาจทำให้โบท็อกกระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการส่งผลต่อผลลัพธ์ บางกรณีอาจตาตก คิ้วตก หรือปากเบี้ยวได้

อย่านอนราบหรือนอนก้มหน้า: ท่านอนอาจทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ใบหน้ามากเกินไป เกิดอาการบวมหรือรอยช้ำได้และการกดทับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้โบท็อกกระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้

งดการอยู่ในที่ร้อน: หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด ซาวน่า สตรีม ทำอาหารหน้าเตาร้อน หรือกินชาบูปิ้งย่าง

ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ: การดื่มน้ำช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกและช่วยลดอาการบวม

24-48 ชั่วโมงหลังฉีด

งดการออกกำลังกายหนัก: เลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นแรง

งดครื่องสำอางที่ผลัดเซลล์ผิว: ควรรอให้รอยเข็มหายสนิทก่อน

ทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด: ปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน

ข้อควรรู้อื่นๆ

ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: แพทย์อาจมีข้อแนะนำเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและสภาพผิวของคุณ

นอนตะแคง: ช่วยลดอาการบวม

ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดได้ใน 2-3 วันแรก ช่วยลดอาการบวม ทั้งนี้ไม่แนะนำให้กดแรงเกินไปเพราะอาจทำให้โบท็อกกระจายไปในจุดที่ไม่ควรกระจาย ส่งผลต่อผลลัพธ์ได้

สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการปวด บวม แดง รอยช้ำ เป็นไข้ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ส่วนใหญ่มักเป็นอาการชั่วคราวและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง รอยช้ำ เป็นไข้ หรืออาการผิดปกติอื่นๆควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

อาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้แก่

ปวด บวม แดงอาการจะหายไปเองภายใน 3-7วัน

รอยช้ำ จะหายไปเองใน 1-2 อาทิตย์

หน้าเบี้ยวอาการนี้พบได้น้อยกว่า 5% ของคนไข้ อาการนี้อาจเกิดจากแพทย์ฉีดโบท็อก (Botox) ผิดตำแหน่งหรือปริมาณโบท็อกมากเกินในต่ำแหน่งที่ไม่ควรฉีด

ตาตก คิ้วตก อาการนี้พบได้น้อยกว่า 1% ของคนไข้ อาการนี้อาจเกิดจากแพทย์ฉีดโบท็อก (Botox) บริเวณหว่างคิ้วผิดจุด และบริเวณหน้าผากที่ใกล้คิ้วมากเกินไป

ตาพร่ามัว

หายใจลำบาก

กลืนลำบาก

หากมีอาการข้างเคียงเหล่านี้ ควรปฏิบัติดังนี้

แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ถึงวิธีบรรเทาหรือแก้ไข้ได้ทันท่วงที 

หากมีอาการบวม ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด ประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง ช่วยลดอาการบวม

หากมีอาการช้ำ สามารถทายา Reparil ในจุดที่ช้ำได้เพื่อให้การช้ำหายเร็วขึ้นค่ะ

หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ หมอแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

สาเหตุของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดโบท็อก(Botox)

ปริมาณโบท็อกที่ฉีดมากเกินไป

การฉีดโบท็อกผิดตำแหน่ง

เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง

ปฏิกิริยาการแพ้ยา

เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วควรทำอย่างไร

ผลจากการฉีดโบท็อก (Botox) นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นหลักเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาอาจรอให้ผลของโบท็อก(Botox) หมดไปเองก็ได้ การปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อเกิดผลข้างเคียงหลังการฉีดโบท็อกจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันอาการที่อาจเป็นอันตรายและได้รับการดูแลที่เหมาะสม หมอขอแนะนำข้อความปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. อธิบายอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการที่คุณพบหลังการฉีด รวมทั้งรายละเอียดของอาการเช่น เวลาที่เริ่มเกิดอาการ, ความรุนแรง, และลักษณะของอาการ

2. แจ้งประวัติการรักษาและยาที่ใช้: ให้ข้อมูลกับแพทย์เกี่ยวกับประวัติการรักษาของคุณ รวมถึงยาที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจมีผลต่อการเกิดผลข้างเคียง

3. ตรวจสอบบริเวณที่ได้รับการฉีด: แพทย์อาจต้องการตรวจสอบบริเวณที่ได้รับการฉีดเพื่อดูว่ามีการอักเสบ, บวม, หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ หรือไม่

4.รับคำแนะนำและวางแผนการรักษา: หลังจากการประเมิน แพทย์จะให้คำแนะนำและวางแผนการรักษาต่อไป เช่น การให้ยา การเปลี่ยนวิธีการดูแลตัวเองที่บ้าน หรือการนัดติดตามผลการรักษา

การปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อเกิดผลข้างเคียงจากโบท็อก (Botox) ช่วยให้คุณได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงจากอาการที่อาจรุนแรงขึ้นได้

ดังนั้นหมอขอสรุปว่า ข้อสำคัญของการฉีดโบท็อก (Botox) ควรเลือกใช้บริการกับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ทางลินนาคลินิก (LINNA CLINIC)  มีบริการฉีดโบท็อก และทีมแพทย์มีประสบการณ์สูง และตัวยามี อย. ปลอดภัย เช็คได้ สามารถสอบถามเพิ่มเติม หรือนัดเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้เลยค่ะ

Related Articles

แนะนำ 6 วิธีกระชับรูขุมขนแบบไว เห็นผลจริง แถมหน้าใสขึ้นด้วย

ปัญหารูขุมขนกว้างมักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือหน้ามันได้ง่าย การกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ได้ผลเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มาดู 5 วิธีที่ช่วยกระชับรูขุมขนแบบไว พร้อมเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยโทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก การทำความสะอาดรูขุมขนเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความมันและสิ่งสกปรกที่อุดตัน โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยละลายคราบมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวสำหรับการบำรุงขั้นถัดไป นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30+ อย่างเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องของการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA อีกด้วย เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ 2. มาสก์โคลนเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน มาสก์โคลนช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกระชับและผิวหน้าสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรใช้มาสก์โคลนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยปล่อยให้มาสก์โคลนแห้งบนผิวหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้มาสก์จะทำหน้าที่ดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกจากผิวหน้าลงสู่ชั้นล่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามาสก์แห้งและตึงผิว ควรล้างออกด้วยน้ำอุ่น การใช้มาส์กโคลนนั้น นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าแล้ว ก็ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดความมันส่วนเกิน ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูสะอาดสดใสขึ้น 3. การใช้น้ำแข็งประคบผิวหน้าสำหรับการกระชับรูขุมขนทันที วิธีนี้ง่ายและได้ผลทันทีเมื่อคุณต้องการให้ผิวดูกระชับ โดยการนำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วประคบเบา ๆ บนผิวหน้า น้ำแข็งจะช่วยหดตัวรูขุมขนชั่วคราว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเพื่อช่วยให้เมคอัพติดทนนาน

Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ช่วยยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม

อยากมีผิวสวยกระชับ ดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่นต่างๆ คอยกวนใจแต่ไม่อยากผ่าตัดยกกระชับ ไม่อยากฉีดสารสังเคราะห์ทั้งพวกโบท็อกซ์ (Botox) หรือฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายทำได้หรือไม่? โจทย์งานผิวจะยากเพียงใดแต่นวัตกรรมยกกระชับผิวอย่าง Ultraformer ก็เอาอยู่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับ ลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆ ใต้ชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งแรกที่ทำ สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้สวยหล่อดูมั่นใจมากขึ้นและกำลังมีแพลนทำ Ultraformer แต่ยังไม่มั่นใจว่า Ultraformer ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ หลังทำ Ultraformer ช่วยคงผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม? มาดูทุกคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) Table of Contents Ultraformer คืออะไร? Ultraformer (อัลตราฟอร์เมอร์) คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทรงวีเชฟ (V-shape) โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงและมีความเฉพาะเจาะจงแบบ MMFU (Micro & Macro Focus Ultrasound) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular

Radiesse vs Sculptra เทียบกันแบบชัดๆ เลือกตัวไหนดีกว่ากัน

Radiesse vs Sculptra อันไหนดีกว่ากัน? ควรเลือกฉีดตัวไหน? เป็นคำถามที่ถูกถามเข้ามาเป็นประจำสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์กระชับ เรียบเนียนอยู่เสมอเพราะการดูแลผิวด้วย Radiesse และ Sculptra ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวได้อย่างล้ำลึกและคงผลลัพธ์ยาวนานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์จึงทำให้ทั้ง 2 หัตถการนี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและระยะเวลาในการคงผลลัพธ์ที่ดูคล้ายคลึงกันของ Radiesse vs Sculptra จึงอาจทำให้หลายคนเกิดความสงสัยได้ว่า Radiesse กับ Sculptra ต่างกันอย่างไร ควรเลือกทำแบบไหนดีกว่ากัน บทความนี้จากลินนา คลินิก (LINNA Clinic) จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Radiesse และ Sculptra กันให้มากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างผลลัพธ์การดูแลผิวที่ตรงใจได้มากที่สุด Table of Contents Radiesse คืออะไร Radiesse (เรเดียสซ์) คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ใช้ส่วนประกอบสำคัญเป็นสาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่พบอยู่ในร่างกายของมนุษย์แค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่ผลิตและพัฒนาโดย Merz Aesthetics ประเทศเยอรมนี

Scroll to Top